ภาษาคอมพิวเตอร์

ความหมายของภาษาคอพิวเตอร์

ภาษาคอมพิวเตอร์ หมายถึง ภาษาใดๆที่ผู้ใช้งานใช้สื่อสารกับคอมพิวเตอร์ หรือคอมพิวเตอร์ด้วยกัน แล้วคอมพิวเตอร์สามารถ
ทำงานตามคำสั่งนั้นได้ คำนี้มักใช้เรียกแทนภาษาโปรแกรม แต่ความเป็นจริงภาษาโปรแกรมคือส่วนหนึ่งของภาษาคอมพิวเตอร์เท่านั้น
และมีภาษาอื่นๆที่เป็นภาษาคอมพิวเตอร์เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น HTML เป็นทั้งภาษามาร์กอัปและภาษาคอมพิวเตอร์ด้วย
แม้ว่ามันจะไม่ใช่ภาษาโปรแกรม หรือภาษาเครื่องนั้นก็นับเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ ซึ่งโดยทางเทคนิคสามารถใช้
ในการเขียนโปรแกรมได้ แต่ก็ไม่จัดว่าเป็นภาษาโปรแกรม

ภาษาคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ

-ภาษาระดับสูง (High level)

-ภาษาระต่ำ (low level)

ภาษาระดับสูงถูกออกถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานง่ายและสะดวกสบายกว่าภาษาระดับต่ำ โปรแกรมที่เขียนถูกต้อง
ตามเกณฑ์และไวยากรณ์ของภาษาจะถูกแปล (Compile) ไปเป็นภาษาระดับต่ำเพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถ
นำไปใช้งานหรือปฏิบัติตามคำสั่งได้ต่อไป ซอฟต์แวร์สมัยใหม่ส่วนมากเขียนด้วยภาษาระดับสูง แปลไป
เป็นออบเจกต์โค้ด (objet code) แล้วเปลี่ยนเป็น ชุดคำสั่งในภาษาเครื่อง

ภาษาคอมพิวเตอร์อาจแบ่งเป็นกลุ่มได้เป็นอีกสองประเภทคือ ภาษาที่มนุษย์อ่านออก (human-readable)
และภาษาที่มนุษย์อ่านไม่ออก (non human-readable) ภาษาที่มนุษย์อ่านออกถูกออกแบบมา
เพื่อให้มนุษย์สามารถเข้าใจและสื่อสารได้โดยตรงกับคอมพิวเตอร์ส่วนภาษาที่มนุษย์อ่านไม่ออกจะมีโค้ดบางส่วน
ที่ไม่อาจอ่านเข้าใจได้แต่ออกแบบมาเพื่อให้โค้ดกระชับซึ่งคอมคอมพิวเตอร์จะสามารถประมวลผลได้ง่าย

ตัวอย่างภาษาคอมพิวเตอร์

-  ภาษาโปรแกรม

-  ภาษาคริปต์

-  ภาษามาร์กอัป

-  ภาษาสอบถาม 


วิวัฒนาการของภาษาคอมพิวเตอร์

ในกระบวนการสื่อสารเบื้องต้นนั้นประกอบด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น ผู้ส่งสาร ผู้รับสาร สารหรือข้อความ
สื่อกลางและ ภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร ซึ่งภาษาที่ใช้สื่อสารนี้ถ้าฝ่ายผู้ส่งสารและผู้รับสารสามารถเข้าใจกันได้
ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าทั้งผู้ส่งสาร และผู้รับสาร ไม่สามารถสื่อสารเข้าใจกันได้อาจจะเพราะต่างเชื้อชาติ
ต่างภาษา ก็อาจจะต้องใช้ตัวกลาง มาช่วยในการสื่อสารเพื่อให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกันได้

กระบวนการสื่อสารระหว่างมนุษย์และคอมพิวเตอร์ก็เช่นกัน คือจะเกี่ยวข้องกับมนุษย์และคอมพิวเตอร์เป็นหลัก
คอมพิวเตอร์นั้นรู้ และเข้าใจ แต่เฉพาะภาษาเครื่องซึ่งอยู่ในรูปของเลขฐานสอง คือ 0 และ 1 เท่านั้นดังนั้นเมื่อใดก็ตาม
ที่มนุษย์ ต้องการสื่อสารกับคอมพิวเตอร์ ก็ต้องเขียนให้อยู่ ในรูปของเลขฐานสองเท่านั้น เพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถ
ทำงานได้ตามที่คอมพิวเตอร์เข้าใจแต่การเขียนคำสั่งในลักษณะของภาษาเครื่อง ซึ่งประกอบด้วยเลขฐานสองนั้น
มีความยุ่งยาก และยากที่จะเข้าใจได้อีกทั้งหากเกิดความผิดพลาดในการเข้ารหัสเลขฐานสอง ก็ยังยุ่งยาก
ในการแก้ไขด้วยมนุษย์จึงพัฒนาการและปรับปรุงวิธีการติดต่อสื่อสารและสั่งงานคอมพิวเตอร์ ให้สามารถ
เข้าใจกันได้ง่าย ซึ่งตัวกลางที่มนุษย์ใช้ในกระบวนการนี้เรียกว่า ภาษาคอมพิวเตอร์

ภาษาคอมพิวเตอร์ เป็นสัญลักษณ์ที่มนุษย์พัฒนาขึ้นมาเพื่อควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ และสั่งการ
ให้คอมพิวเตอร์ สามารถทำงาน ได้ตามที่มนุษย์ต้องการ เริ่มแรกนั้นการสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงาน ต้องเขียน
คำสั่งอยู่ในรูปของเลขฐานสองซึ่งประกอบด้วยเลข 0 และ 1 จึงทำให้การเขียนโปรแกรมควบคุมการทำงาน
ของคอมพิวเตอร์ยุ่งยากมาก เพราะถ้าเข้ารหัสผิดพลาด

การทำงานของคอมพิวเตอร์ก็จะผิดพลาด หรือได้ผลลัพธ์ไม่ตรงตามจุดประสงค์ที่ต้องการต่อมามนุษย์
จึงพัฒนารูปแบบของภาษาขึ้นมาใหม่โดยใช้รหัสข้อความในภาษาอังกฤษที่เข้าใจได้ง่าย โดยมีกฏเกณฑ์ต่างๆ
ของภาษาแตกต่างกันไป ภาษาคอมพิวเตอร์ปัจจุบันมีหลายภาษามากมาย แต่ละภาษาก็มีความยากง่าย
และมีวัตถุประสงค์ ของภาษาแตกต่างกันไปดังนั้นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ จึงจำเป็นต้องเลือกใช้ภาษา
คอมพิวเตอร์ให้เหมาะสมกับงาน ที่ต้องการพัฒนา และความสามารถในการใช้ภาษาคอมพิวเตรืของบุคคลนั้นๆ


ยุคของภาษาคอมพิวเตอร์

ภาษาคอมพิวเตอร์มีการพัฒนาหรือมีวิวัฒนาการมาโดยลำดับเช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ โดยจะสามารถ
แบ่งออกเป็นยุค หรือเป็นรุ่นของภาษา (Generation)ซึ่งในยุคหลัง ๆจะมีการพัฒนาภาษาให้มีความสะดวก
ในการอ่านออกและเขียนง่ายขึ้นกว่าภาษาในยุคแรก ๆ เนื่องจากจะมีโครงสร้างภาษาใกล้เคียงกับภาษาอังกฤษ

สามารถแบ่งภาษาคอมพิวเตอร์ออกได้เป็น 5

1. ภาษาเครื่อง (machine language)

2. ภาษาแอสเซมบลี (Assembly Language)

3. ภาษาชั้นสูง (High level Langu)

4. ภาษาขั้นสูงมาก (Very High level Language)

5. ภาษาธรรมชาติ (National Language )

 

ระดับของภาษาคอมพิวเตอร์

มนุษย์ใช้ภาษาในการสื่อสารมาตั้งแต่สมัยโบราณ การใช้ภาษาเป็นเรื่องที่มนุษย์พยายามถ่ายทอดความคิดและ
ความรู้สึกต่าง ๆ เพื่อการโต้ตอบและสื่อความหมาย ภาษาที่มนุษย์ใช้ติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน เช่น ภาษาไทย
ภาษาอังกฤษ หรือภาษาจีน ต่างเรียกว่า “ภาษาธรรมชาติ” (Natural Language) เพราะมีการศึกษา ได้ยิน
ได้ฟังกันมาตั้งแต่เกิดการใช้งานคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นเครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์ให้ทำงานตามที่ต้องการ
จำเป็นต้องมีการกำหนดภาษา สำหรับใช้ติดต่อสั่งงานกับคอมพิวเตอร์ ภาษาคอมพิวเตอร์จะเป็น ”ภาษาประดิษฐ์
(Artificial Language) ที่มนุษย์คิดสร้างมาเอง เป็นภาษาที่มีจุดมุ่งหมายเฉพาะ มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัวและจำกัด
คืออยู่ในกรอบให้ใช้คำและไวยากรณ์ที่กำหนดและมีการตีความหมายที่ชัดเจน จึงจัดภาษาคอมพิวเตอร์เป็น
ภาษาที่มีรูปแบบเป็นทางการ (Formal Language) ต่างกับภาษาธรรมชาติที่มีขอบเขตกว้างมาก ไม่มีรูปแบบ
ตายตัวที่แน่นอน กฎเกณฑ์ของภาษาจะขึ้นกับหลักไวยากรณ์และการยอมรับของกลุ่มผู้ใช้นั้น ๆ

ภาษาคอมพิวเตอร์อาจแบ่งได้เป็น 3 ระดับ คือ ภาษาเครื่อง (Machine Language) ภาษาระดับต่ำ (Low Level Language)
และภาษาระดับสูง (High Level Language)

1. ภาษาเครื่อง (Machine Language) การเขียนโปรแกรมเพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานในยุคแรก ๆ
จะต้องเขียนด้วยภาษาซึ่งเป็นที่ยอมรับของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า “ภาษาเครื่อง” ภาษานี้ประกอบด้วยตัวเลขล้วน
ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้ทันที ผู้ที่จะเขียนโปรแกรมภาษาเครื่องได้ ต้องสามารถจำรหัสแทนคำสั่งต่างๆ ได้
และในการคำนวณต้องสามารถจำได้ว่าจำนวนต่าง ๆ ที่ใช้ในการคำนวณนั้นถูกเก็บไว้ที่ตำแหน่งใด ดังนั้นโอกาสที่
จะเกิดความผิดพลาดในการเขียนโปรแกรมจึงมีมาก นอกจากนี้เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละระบบมีภาษาเครื่องที่
แตกต่างกันออก ทำให้เกิดความไม่สะดวกเมื่อมีการเปลี่ยนเครื่องคอมพิวเตอร์เพราะจะต้องเขียนโปรแกรมใหม่ทั้งหมด

2. ภาษาระดับต่ำ (Low Level Language)
เนื่องจากภาษาเครื่องเป็นภาษาที่มีความยุ่งยากในการเขียนดังได้กล่าวมาแล้ว จึงไม่มีผู้นิยมและมีการใช้น้อย ดังนั้น
ได้มีการพัฒนาภาษาคอมพิวเตอร์ขึ้นอีกระดับหนึ่ง โดยการใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษเป็นรหัสแทนการทำงาน การใช้และ
การตั้งชื่อตัวแปรแทนตำแหน่งที่ใช้เก็บจำนวนต่าง ๆ ซึ่งเป็นค่าของตัวแปรนั้น ๆ การใช้สัญลักษณ์ช่วยให้การเขียนโปรแกรมนี้เรียกว่า
“ภาษาระดับต่ำ”ภาษาระดับต่างเป็นภาษาที่มีความหมายใกล้เคียงกับภาษาเครื่องมากบางครั้งจึงเรียกภาษานี้ว่า
“ภาษาอิงเครื่อง” (Machine – Oriented Language) ตัวอย่างของภาษาระดับต่ำ ได้แก่ ภาษาแอสเซมบลี เป็นภาษา
ที่ใช้คำในอักษรภาษาอังกฤษเป็นคำสั่งให้เครื่องทำงาน เช่น ADD หมายถึง บวก SUB หมายถึง ลบ เป็นต้น การใช้คำเหล่านี้
ช่วยให้การเขียนโปรแกรมง่ายขึ้นกว่าการใช้ภาษาเครื่องซึ่งเป็นตัวเลขล้วน ดังตารางแสดงตัวอย่างของภาษาระดับต่ำและ
ภาษาเครื่องที่สั่งให้มีการบวกจำนวนที่เก็บอยู่ในหน่วยความจำ

ตารางที่1 แสดงความสัมพันธ์ของคำสั่งในภาษาระดับต่ำและภาษาเครื่อง

ภาษาระดับต่ำ

ภาษาเครื่อง

รหัสเลขฐานสิบหก

 

MOV AL,05 

10110000 00000101 

B0 05

MOV BL,08 

10110011 00001000 

B3 08

 

ADD AL,BL 

00000000 11011000 

00 D8

 

MOV CL,AL 

10001000 11000001 

88 C1

จากตารางบรรทัดแรก 10110000 00000101 เป็นคำสั่งให้นำจำนวน 5 (หรือเขียนในรูปของเลขฐานสองเป็น 00000101)
ไปเก็บในรีจิสเตอร์ชื่อ AL โดยส่วนแรก 10110000 คือรหัสคำสั่ง MOV ซึ่งเป็นการเคลื่อนย้ายข้อมูลจำนวนมาเก็บไว้ในรีจิสเตอร์ AL
บรรทัดที่สอง 10110011 00001000 เป็นคำสั่งให้นำจำนวน 8 (หรือเขียนในรูปของเลขฐานสองเป็น 00001000)
ไปเก็บในรีจิสเตอร์ชื่อ BL โดยส่วนแรก 10110011 คือรหัสคำสั่ง MOV ซึ่งเป็นการเคลื่อนย้ายข้อมูลจำนวนมาเก็บไว้ในรีจิสเตอร์ BL
บรรทัดที่สาม เป็นคำสั่งการบวกระหว่างรีจิสเตอร์ AL กับ BL หรือนำ 5 บวก 8 ผลลัพธ์เก็บในรีจิสเตอร์ AL
บรรทัดที่สี่ เป็นการนำผลลัพธ์จากรีจิสเตอร์ชื่อ AL ไปเก็บไว้ในรีจิสเตอร์ชื่อ CL

การใช้โปรแกรมที่เขียนด้วยภาษาแอสเซมบลีนั้น เครื่องคอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำงานได้ทันที จำเป็นต้องมีการแปล
โปรแกรมในการแปลที่มีชื่อว่า “แอสเซมเบลอร์” (Assembler) ซึ่งแตกต่างไปตามเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละชนิด
ดังนั้นแอสเซมเบลอร์ของเครื่องชนิดหนึ่งจะไม่สามารถใช้แปลโปรแกรมภาษาแอสเซมบลีของเครื่องชนิดอื่นๆ
ได้ภาษาแอสเซมบลีนี้ยังคงใช้ยาก เพราะผู้เขียนโปรแกรมจะต้องเข้าใจในการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างละเอียด
ต้องรู้ว่าจำนวนที่จะนำมาคำนวณนั้นอยู่ ณ ตำแหน่งใดในหน่วยความจำในทำนองเดียวกับการเขียนโปรแกรมเป็น
ภาษาเครื่อง ภาษาแอสเซมบลีจึงมีผู้ใช้น้อย และมักจะใช้ในกรณีที่ต้องการควบคุมการทำงานภายในของตัวเครื่องคอมพิวเตอร์

3 ภาษาระดับสูง (High Level Language)

ภาษาระดับสูงเป็นภาษาที่สร้างขึ้นเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการเขียนโปรแกรมกล่าวคือลักษณะของคำสั่ง
จะประกอบด้วยคำต่าง ๆ ในภาษาอังกฤษ ซึ่งผู้อ่านสามารถเข้าใจความหมายได้ทันที ผู้เขียนโปรแกรมจึงเขียน
โปรแกรมด้วยภาษาระดับสูงได้ง่ายกว่าเขียนด้วยภาษาแอสเซมบลีหรือภาษาเครื่อง ภาษาระดับสูงมีมากมายหลายภาษา
อาทิเช่น ภาษาฟอร์แทรน (FORTRAN) ภาษาโคบอล (COBOL) ภาษาปาสคาล (Pascal) ภาษาเบสิก(BASIC)
ภาษาวิชวลเบสิก (Visual Basic) ภาษาซี (C) และภาษาจาวา (Java) เป็นต้น โปรแกรมที่เขียนด้วยภาษาระดับสูง
แต่ละภาษาจะต้องมีโปรแกรมที่ทำหน้าที่แปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง เช่น โปรแกรมแปลภาษาฟอร์แทรน
เป็นภาษาเครื่อง โปรแกรมแปลภาษาปาสคาลเป็นภาษาเครื่อง คำสั่งหนึ่งคำสั่งในภาษาระดับสูงจะถูกแปลเป็น
ภาษาเครื่องหลายคำสั่ง

 

ภาษาระดับสูงที่จะกล่าวถึงในที่นี้ ได้แก่

1) ภาษาฟอร์แทรน (FORmula TRANstation : FORTRAN)
จัดเป็นภาษาระดับสูงที่เก่าแก่ที่สุด ได้รับการคิดค้นขึ้นเป็นครั้งแรก ราว พ.ศ. 2497 โดยบริษัท ไอบีเอ็ม
เป็นภาษาที่เหมาะสำหรับงานที่ต้องการการคำนวณ เช่น งานทางด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และ
งานวิจัยต่าง ๆ เนื่องจากแนวคิดในการเขียนโปรแกรมในระยะหลังนี้เปลี่ยนมานิยมการเขียนโปรแกรม
แบบโครงสร้างมากขึ้น ลักษณะของคำสั่งภาษาฟอร์แทรนแบบเดิมไม่เอื้ออำนวยที่จะให้เขียนได้ จึงมี
การปรับปรุงโครงสร้างของภาษาฟอร์แทรนให้สามารถเขียนโปรแกรมแบบโครงสร้างขึ้นมาได้ในปี พ.ศ. 2509
เรียกว่า FORTRAN 66 และในปี พ.ศ. 2520 สถาบันมาตรฐานแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา
(American National Standard Institute หรือ ANSI) ได้ปรับปรุง FORTRAN 66 และยอมรับให้เป็นภาษาฟอร์แทรน
ที่เป็นมาตรฐาน เรียกว่า FORTRAN 77 ใช้ได้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีตัวแปลภาษานี้

ตัวอย่างการเขียนโปรแกรมด้วยภาษา FORTRAN
FORTRAN PROGRAM
SUM = 0
COUNTER = 0
WRITE ( 6 , 60 )
READ ( 5 , 40 ) NUMBER
1 IF ( NUMBER) .EQ. 999 ) GOTO 2
SUM = SUM + NUMBER
COUNTER = COUNTER + 1
WRITE ( 6 , 70 )
READ ( 5 , 70 ) NUMBER
GOTO 1
2 AVERAGE = SUM / COUNTER
WRITE ( 6 , 80 ) AVERAGE
STOP
END

2) ภาษาโคบอล (Common Business Oriented Language : COBOL)

เป็นภาษาที่พัฒนาขึ้นในราว พ.ศ. 2502 ต่อมาได้รับการปรับปรุงจากคณะกรรมการซึ่งเป็นตัวแทนของ
หน่วยงานธุรกิจและรัฐบาลของสหรัฐอเมริกา เป็นภาษาโคบอลมาตรฐานในปี พ.ศ. 2517 เป็นภาษาที่
เหมาะสมสำหรับงานด้านธุรกิจ เครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ส่วนมากมีโปรแกรมแปลภาษาโคบอล

ตัวอย่างการเขียนโปรแกรมด้วยภาษา COBOL
IF SALES-AMOUNT IS GREATER THAN SALES-QUOTA
COMPUTE COMMISSION = MAX-RATE * SALES - AMOUNT
ELSE
COMPUTE COMMISSION = MIN-RATE * SALES - AMOUNT

3) ภาษาเบสิก (Beginner’s All – purpose Symbolic Instruction Code : BASIC)
เป็นภาษาที่ได้รับการคิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่วิทยาลัยดาร์ทมัธ (Dartmouth College) และเผยแพร่
เป็นทางการในปี พ.ศ. 2508ภาษาเบสิกเป็นภาษาที่สร้างขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้สอนเพื่อใช้สอน
เขียนโปรแกรมแทนภาษาคอมพิวเตอร์ภาษาอื่น เช่น ภาษาฟอร์แทรน ซึ่งมีขนาดใหญ่และต้องใช้
หน่วยความจำสูงในการทำงาน ซึ่งไม่เหมาะกับเครื่องคอมพิวเตอร์ในสมัยนั้น ภาษาเบสิกเป็น
ภาษาที่มีขนาดเล็ก เป็นตัวแปลภาษาชนิดที่เรียกว่าอินเทอร์พรีเตอร์
นอกจากนี้ ภาษาเบสิกเป็นภาษาที่ง่ายต่อการเขียน ซึ่งผู้เขียนจะสามารถนำไปประยุกต์กับการแก้ปัญหาต่าง ๆ
ได้ทุกสาขาวิชา ผู้ที่เพิ่งฝึกเขียนโปรแกรมใหม่ ๆ หรือผู้ที่ไม่ใช่นักเขียนโปรแกรมมืออาชีพ แต่เป็นเพียงวิศวกร
หรือนักวิจัย จะสามารถหัดเขียนโปรแกรมภาษาเบสิกได้ในเวลาไม่นานนัก ปกติภาษาเบสิกส่วนใหญ่ใช้กับ
ไมโครคอมพิวเตอร์

ตัวอย่างการเขียนโปรแกรมด้วยภาษา BASIC
CLS
PRINT “PLEASE ENTER A NUMBER”
INPUT NUMBER
DO WHILE NUMBER <> 999
SUM = SUM + NUMBER
vCOUNTER = COUNTER + 1
PRINT “PLEASE ENTER THE NEXT NUMBER”
INPUT NUMBER
LOOP
AVERAGE = SUM/COUNTER
PRINT “THE AVERAGE OF THE NUMBER IS”; AVERAGE
END

4) ภาษาปาสคาล (Pascal)
ตั้งชื่อตามนักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ชื่อ เบลส ปาสคาล (Blaise Pascal) ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องคิดเลขโดย
ใช้เฟืองหมุน ภาษาปาสคาลคิดขึ้นในปี พ.ศ. 2514 โดยนิคลอส เวียซ (Niklaus Wirth) ศาสตราจารย์วิชา
คอมพิวเตอร์ชาวสวิต ภาษาปาสคาลได้รับการออกแบบให้ใช้ง่ายและมีโครงสร้างที่ดี จึงเหมาะกับการ
ใช้สอนหลักการเขียนโปรแกรม ปัจจุบันภาษาปาสคาลยังคงได้รับความนิยมใช้ในการเรียนเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์

ตัวอย่างการเขียนโปรแกรมด้วยภาษา Pascal
PROGRAM AVERAGE OF NUMBER:
VAR
COUNTER , NUMBER , SUM : INTEGER ;
AVERAGE : REAL ;
BEGIN
SUM := 0 ;
COUNTER := 0;
WRITELN (‘PLEASE ENTER A NUMBER');
READLN ( NUMBER);
WHILE NUMBER <> 999 DO
BEGIN (* WHILE LOOP *)
SUM := SUM + COUNTER;
WRITELN (‘PLEASE ENTER THE NEXT NUMBER');
READ ( NUMBER);
END ; (* WHILE LOOP *)
AVERAGE := SUM / COUNTER;
WRITELN (‘THE AVERAGE OF THE NUMBERS IS' , AVERAGE : 2 );
END.

5) ภาษาซีและซีพลัสพลัส (C และ C++)
ภาษาซีเป็นภาษาที่พัฒนาจากห้องปฏิบัติการเบลล์ของบริษัทเอทีแอนด์ทีในปี พ.ศ. 2515 หลังจากที่
พัฒนาขึ้นได้ไม่นาน ภาษาซีก็กลายเป็นภาษาที่นิยมในหมู่นักเขียนโปรแกรมมาก และมีใช้งานในเครื่องทุกระดับ
ทั้งนี้เนื่องจากภาษาซีได้รวมเอาข้อมูลของภาษาระดับสูงและภาษาระดับต่ำเข้าไว้ด้วยกัน กล่าวคือเป็นภาษา
ที่มีไวยากรณ์ที่เข้าใจง่าย ทำให้เขียนโปรแกรมได้ง่ายเช่นเดียวกับภาษาระดับสูงทั่วไป แต่ประสิทธิภาพและ
ความเร็วในการทำงานดีกว่ามาก เนื่องจากมีการทำงานเหมือนภาษาระดับต่ำ สามารถทำงานได้ในระดับที่
เป็นการควบคุมฮาร์ดแวร์ได้มากกว่าภาษาระดับสูงอื่น ๆ ดังจะเห็นว่าภาษาซีเป็นภาษาที่สามารถพัฒนา
ระบบปฏิบัติการได้ เช่น ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์
นอกจากนี้เมื่อแนวคิดของการเขียนโปรแกรมแบบเชิงวัตถุ (Object Oriented Programming : OOP)
ได้เข้ามามีบทบาทในวงการคอมพิวเตอร์มากขึ้น ภาษาซีก็ยังได้รับการพัฒนาโดยประยุกต์ใช้กับ
การเขียนโปรแกรมดังกล่าว เกิดเป็นภาษาใหม่ชื่อว่า “ภาษาซีพลัสพลัส” (C++)

ตัวอย่างการเขียนโปรแกรมด้วยภาษา C และ C++
/* http://www.thaiall.com/tc */
#include <stdio.h>
#include <conio.h>
void main(){
int i, j;
printf("Put integer :");
scanf ("%d", &i);
printf("n========n");
j = 0;
while (i > j){
printf("%d\n", ++j);
}
getch();
}

6) ภาษาวิชวลเบสิก (Visual Basic)
เป็นภาษาที่พัฒนาต่อมาจากภาษาเบสิก ใช้ไวยากรณ์บางส่วนของภาษาเบสิกในการเขียนโปรแกรม แต่มีแนวคิด
และวิธีการพัฒนาโปรแกรมที่แตกต่างจากภาษาเบสิกโดยสิ้นเชิง รวมทั้งการใช้เนื้อที่ในหน่วยความจำก็
แตกต่างกันมาก ทั้งนี้เนื่องจากภาษาวิชวลเบสิกใช้แนวคิดที่ต่างออกไป

Private Sub Form_Load()
Dim i As Integer
For i = -5 To 5
If i < 0 Then
MsgBox i &" เป็นตัวเลขจำนวนเต็มลบ ", vbOKOnly + vbInformation, "Show"
Else
MsgBox i &" เป็นตัวเลขจำนวนเต็มบวก ", vbOKOnly + vbInformation, "Show"
End If
Next
End Sub

7) การเขียนโปรแกรมแบบจินตภาพ (Visual Programming)
ภาษานี้พัฒนาขึ้นโดยบริษัทไมโครซอฟต์ออกแบบเพื่อเขียนโปรแกรมที่สามารถใช้งานได้บนระบบปฏิบัติการ
แบบจียูไอ เช่น ระบบปฏิบัติการไมโครซอฟต์วินโดวส์ มีการติดต่อกับผู้ใช้โดยใช้รูปภาพ การเขียนโปรแกรม
ทำได้ง่ายกว่าการเขียนโปรแกรมแบบเก่ามาก

8) ภาษาจาวา (Java)
พัฒนาขึ้นในปี พ.ศ. 2534 โดยบริษัทซันไมโครซิสเตมส์ เป็นภาษาที่ได้รับความนิยมสูงมาโดยตลอด เนื่องจาก
เป็นภาษาที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถเขียนโปรแกรมและใช้งานได้บนเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกประเภทและ
ระบบปฏิบัติการทุกรูปแบบ ในช่วงแรกที่เริ่มมีการนำภาษาจาวามาใช้งานจะเป็นการใช้งานบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
เป็นภาษาที่เน้นการทำงานบนเว็บ แต่ปัจจุบันสามารถสามารถนำมาประยุกต์สร้างโปรแกรมใช้งานทั่วไปได้
นอกจากนี้ เมื่อเทคโนโลยีของการสื่อสารก้าวหน้าขึ้น จนกระทั่งเครื่องคอมพิวเตอร์ปาล์มท็อป หรือ แม้แต่
โทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตและใช้งานระบบเวิลด์ไวด์เว็บได้ ภาษาจาวา
ก็สามารถสร้างส่วนที่เรียกว่า “แอปเพล็ต” (Applet) ให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่กล่าวข้างต้น เรียกใช้งานจาก
เครื่องที่เป็นแม่ข่าย (Server) ได้

class TestJava
{
public static void main(String[] args)
{
System.out.println("Hello World!");

}

9) ภาษาเดลฟาย (Delphi)
เป็นภาษาที่ได้รับความนิยมภาษาหนึ่ง แนวคิดในการเขียนโปรแกรมภาษาเดลฟายเหมือนกับแนวคิด
ในการเขียนโปรแกรมภาษาวิชวลเบสิก คือเป็นการเขียนโปรแกรมเชิงจินตภาพ แต่ภาษาพื้นฐานที่ใช้ใน
การเขียนโปรแกรมจะเป็นภาษาปาสคาล ในการเขียนโปรแกรมเชิงจินตภาพนี้มีคอมโพเนนต์ (Component)
ที่สามารถใช้เป็นส่วนประกอบเพื่อสร้างส่วนติดต่อผู้ใช้ที่เป็นแบบกราฟิก ทำให้ซอฟต์แวร์ที่พัฒนามีความ
น่าสนใจและใช้งานง่ายขึ้น การเขียนโปรแกรมด้วยภาษาเดลฟายจึงเป็นที่นิยมในการนำไปพัฒนาเป็น
โปรแกรมใช้งานมาก รวมทั้งภาษาปาสคาลเป็นภาษาที่เข้าใจง่าย เหมาะแก่การนำมาใช้สอนเขียนโปรแกรม

การทำงานของโปรแกรมแปลภาษา

ในการประมวลผลโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาระดับสูง จำเป็นต้องอาศัยโปรแกรมที่ทำหน้าที่ช่วย
ในการแปลโปรแกรมภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง โปรแกรมแปลภาษาที่ใช้แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่

1) คอมไพเลอร์ (Compiler)
เป็นโปรแกรมที่ทำหน้าที่ในการแปลโปรแกรมที่เขียนด้วยภาษาระดับสูงที่เรียกกันว่า “โปรแกรมต้นฉบับ”
(Source Program) ให้เป็นโปรแกรมภาษาเครื่อง (Object Program) ถ้ามีข้อผิดพลาดเครื่องจะพิมพ์รหัส
หรือข้อผิดพลาดออกมาด้วย ภายหลังการแปลถ้าไม่มีข้อผิดพลาด ผู้ใช้สามารถสั่งประมวลผลโปรแกรม
และสามารถเก็บโปรแกรมที่แปลภาษาเครื่องไว้ใช้งานต่อไปได้อีก โดยไม่ต้องทำการแปลโปรแกรมซ้ำอีก
ตัวอย่างโปรแกรมแปลภาษาแบบนี้ ได้แก่ โปรแกรมแปลภาษาฟอร์แทรน โปรแกรมแปลภาษาโคบอล โปรแกรม
แปลภาษาปาสคาล โปรแกรมแปลภาษาซี

2) อินเทอร์พรีเตอร์ (Interpreter)
เป็นโปรแกรมที่ทำหน้าที่ในการแปลโปรแกรมที่เขียนด้วยภาษาระดับสูงให้เป็นโปรแกรมภาษาเครื่องเช่นเดียว
กับคอมไพเลอร์ ความแตกต่างจะอยู่ที่อินเทอร์พรีเตอร์จะทำการแปลและประมวลผลทีละคำสั่ง ข้อเสียของ
อินเทอร์พรีเตอร์ก็คือถ้านำโปรแกรมนั้นมาใช้งานอีกจะต้องทำการแปลโปรแกรมทุกครั้ง ภาษาบางภาษา
มีโปรแกรมแปลทั้งสองลักษณะ เช่น ภาษาเบสิก เป็นต้น

ระบบติดต่อของการใช้งานคอมพิวเตอร์

ตามปกติเมื่อซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้งาน มักจะได้ระบบปฏิบัติการมาพร้อมกับเครื่อง ซึ่งสามารถจัดการ
ให้ผู้ใช้เรียกใช้หรือติดต่อกับเครื่องได้ทันที โดยรูปแบบของการติดต่อกับเครื่องจะขึ้นกับระบบปฏิบัติกี่ที่ติดตั้งและ
ซอฟต์แวร์เสริมสภาพแวดล้อมการใช้งาน ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบติดต่อระหว่างเครื่อง
กับผู้ใช้ให้ใช้ง่ายและทำงานได้รวดเร็วขึ้น
ระบบติดต่อใช้งานคอมพิวเตอร์อาจแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มด้วยกันได้แก่ กลุ่มพิมพ์คำสั่งเข้าไปทีละบรรทัด
กลุ่มเลือกรายการเมนู กลุ่มเลือกสัญรูป

1 กลุ่มพิมพ์คำสั่งเข้าทีละบรรทัด
ระบบการติดต่อแบบนี้เป็นระบบติดต่อแบบแรกที่พัฒนามาพร้อม ๆ กับคอมพิวเตอร์ ก่อนที่จะมีการพัฒนาระบบอื่นๆ
เป็นการป้อนคำสั่งทีละบรรทัด ซึ่งไม่เอื้อต่อการใช้งานคอมพิวเตอร์เท่าใดนัก เพราะผู้ใช้จะต้องเรียนรู้หรือจดจำคำสั่งต่างๆ
ไว้ให้ได้เสียก่อน เช่น การเรียกใช้คำสั่งของดอส ระบบนี้ผู้ใช้จะมีความสับสนในระยะแรก เพราะจะต้องเรียนรู้คำสั่งว่าใช้งานอะไร
และใช้ได้อย่างไร ซึ่งการป้อนหรือพิมพ์คำสั่งเข้าไปจะต้องพิมพ์ไม่ผิดเลย ระบบติดต่อนี้จะใช้ยากและเสียเวลาบ้าง
ถ้าจำคำสั่งไม่ได้ แต่ถ้าใช้ไปนาน ๆ จนคุ้นเคย อาจมีข้อดีที่สามารถเรียกโปรแกรมมาทำงานได้รวดเร็วที่สุดใช้พื้นที่
หน่วยความจำน้อยเพราะลดการแสดงผลในส่วนของกราฟิก

2 กลุ่มเลือกรายการเมนู
ในระบบนี้จะแสดงรายการย่อยของคำสั่งต่าง ๆ ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นข้อความตัวอักษร ไม่เป็นรูปกราฟิก ผู้ใช้
เพียงแต่เลื่อนตัวชี้ แถบสี หรือสัญลักษณ์ลูกศรขึ้นลง รูปสัญลักษณ์อื่น ๆ ไปยังรายการที่ต้องการ แล้วกดปุ่มเลือก
รายการนั้น หรืออาจใช้เมาส์เลือกรายการใช้เช่นกัน ระบบติดต่อใช้งานคอมพิวเตอร์กลุ่มนี้จะใช้งานได้ง่ายขึ้น
ไม่ต้องจดจำคำสั่งมาก เพราะจะมีรายการคำสั่งแสดงไว้ให้เลือก

3 กลุ่มเลือกสัญรูป
มีลักษณะคล้ายระบบติดต่อกลุ่มที่สองที่เป็นรายการเมนูให้เลือก เพียงแต่ว่ารายการของกลุ่มที่สาม จะเป็นรูปภาพ
หรือสัญรูปสำหรับเลือก โดยมี อุปกรณ์เมาส์เป็นตัวเลื่อน ตัวชี้ และเลือกรายการ ในบางกรณีก็อาจเป็นรายการ
เมนูย่อยของข้อมูลในระบบ การติดต่อระหว่างเครื่องกับผู้ใช้ในลักษณะนี้ได้รับความสนใจมาก เพราะใช้งานง่าย
ไม่ต้องเรียนรู้หรือจดจำคำสั่งที่ซับซ้อนระบบติดต่อใช้งานในกลุ่มที่สามที่มีผู้นิยมหรือกล่าวถึงกันมากคือ
ระบบติดต่อผู้ใช้เชิงกราฟิก เรียกว่า จียูไอ นับเป็นระบบที่แสดงรูปกราฟิกแบบบิตแมพ (Bit Map) ระบบปฏิบัติ
การคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นวินโดวส์ ดอส โอเอสทู หรือยูนิกซ์ ต่างก็มีซอฟต์แวร์มาเสริมสภาพ
การใช้งานเป็นแบบจียูไอกันทั้งหมด

ซอฟต์แวร์ประเภทจียูไอ ส่วนใหญ่เป็นโปรแกรมที่ซับซ้อนและมีขีดความสามารถสูง ดังนั้นการติดต่อหรือ
การเรียนรู้จึงยากกว่าปกติ แต่หลังจากติดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซอฟต์แวร์ประเภทนี้จะใช้งานได้ง่าย และ
ถ้านำไปทำงานในเครื่องความเร็วสูง ก็จะช่วยประหยัดเวลา และทำให้โปรแกรมต่าง ๆ ใช้งานง่ายขึ้น
ซอฟต์แวร์ประเภทจียูไอเป็นซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่จึงใช้พื้นที่หน่วยความจำมาก ต้องใช้ตัวประมวลผลที่
มีขีดความสามารถสูง จึงจะทำงานได้ผล

ลักษณะเด่นของระบบติดต่อกุยเมื่อใช้กับซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการหลายภารกิจ คือ สามารถทำหลายงานได้
ในเวลาเดียวกัน โดยงานหนึ่ง ๆ จะปรากฏในช่องหน้าต่างที่เปิดขึ้นมาบนจอภาพ สามารถสลับระหว่างช่องหน้าต่างไปมา
เปลี่ยนขนาดและย้ายตำแหน่งของช่องหน้าต่าง และการโอนย้ายข้อมูลระหว่างช่องหน้าต่างหรือระหว่างโปรแกรมได้
ในส่วนของผู้ที่เป็นนักเขียนโปรแกรมก็จะได้ประโยชน์ สามารถเขียนโปรแกรมประยุกต์สร้างเป็นเมนูภาพ สัญรูป
และช่องหน้าต่างแสดงข้อมูล

ระบบติดต่อกุยที่สมบูรณ์แบบ ควรมีองค์ประกอบดังนี้

1)  มีระบบที่ใช้รูปกราฟิกและสัญรูป
2)  มีการแสดงรายการบนจอที่สวยงาม น่าดู และให้ความสนุกสนานเพลิดเพลินกับการใช้งาน
3)  สามารถพิมพ์ผลลัพธ์ที่ปรากฏบนจอได้เหมือนกับที่เห็น
4)  สนับสนุนการใช้เครื่องพิมพ์หลายรุ่น
5)  แสดงองค์ประกอบของระบบไม่ว่าจะเป็นช่องหน้าต่างหรือรายการเมนูเป็นมาตรฐานเดียวกัน จนทำ
ให้แยกไม่ออกว่ากำลังทำงานอยู่เครื่องต่างระบบ หรือทำงานต่าง โปรแกรม เป็นต้น
6)  มีลักษณะการใช้งานแบบเลือกรายการ เลือกชิ้นวัตถุที่สามารถชี้และเลือกด้วยเมาส์
7)  มีระบบที่ติดตั้งได้ง่ายและสามารถปรับเปลี่ยนระบบภายในได้ง่าย
8)  สามารถทำงานเข้ากันได้กับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์รุ่นเก่า
9)  สนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างโปรแกรม

ตัวอย่างการเลือกใช้ภาษาคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสมกับการใช้งาน

-    ภาษาคอมพิวเตอร์การใช้งาน

-    BASIC (Beginner's All-purpose Symbolic Instruction Code) ภาษานี้เหมาะสำหรับผู้เริ่มศึกษา การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์

-    COBOL (Common Business Oriented Language) ภาษานี้นิยมใช้ในงานธุรกิจบนเครื่องขนาดใหญ่

-    FORTRAN (FORmula TRANslator) ภาษานี้ใช้สำหรับงานด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์

-    Pascal ( ชื่อของ Blaise Pascal) ภาษานี้จะใช้ในวิทยาลัย และมหาวิทยาลัย

-    C ภาษานี้เหมาะสำหรับนักเขียนโปรแกรม และใช้ในวิทยาลัย มหาวิทยาลัย

-    C++ ภาษานี้สำหรับผู้ผลิตซอฟต์แวร์

-    ALGOL (ALGOrithmic Language)

-    ภาษานี้เป็นภาษาสำหรับงานทางวิทยาศาสตร์ และต่อมามีการพัฒนาต่อเป็นภาษา PL/I และ Pascal

-    APL (A Programming Language)

-    ภาษานี้ออกแบบโดยบริษัท IBM ใน ปี ค.ศ. 1968 เป็นภาษาที่โต้ตอบกับผู้ใช้ทันที เหมาะสำหรับจัดการกับกลุ่มของข้อมูลที่สัมพันธ์กันในรูปแบบตาราง

-    LISP (LIST Processing) ภาษานี้ถูกออกแบบมาให้ใช้กับข้อมูลที่ไม่ใช้ตัวเลข ซึ่งอาจเป็นสัญลักษณ์พิเศษหรือตัวอักษรก็ได้ด้วย

-    LOGO ภาษานี้นิยมใช้ในโรงเรียน เพื่อสอนทักษะการแก้ปัญหาให้กับนักเรียน

-    PL/I (Programming Language One) ภาษานี้ถูกออกแบบมาให้ใช้ กับงานทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์ และธุรกิจด้วย

-    PROLOG (PROgramming LOGIC) ภาษานี้ นิยมใช้มากในงานด้านปัญญาประดิษฐ์ จัดเป็นภาษาธรรมชาติภาษาหนึ่งด้วย

-    RPG (Report Program Generator) ภาษานี้ถูกออกแบบมาให้ใช้กับงานทางธุรกิจ จะมีคุณสมบัติในการสร้างโปรแกรม สำหรับพิมพ์รายงานที่ยืดหยุ่นมากทีเดียว


งานคอมพิวเตอร์ โรงเรียนสตรีวัดระฆัง

Go to Top